ทบเงินอย่างไรให้ไม่เจ๊ง
การทบเงินถือเป็นวัฒนธรรมของนักพนันที่มีกันมาอย่างยาวนานแล้ว โดยมีแนวคิดง่ายๆคือเมื่อเล่นแล้วเสียก็เพิ่มเงินเดิมพันเข้าไปให้ครอบคลุมยอดติดลบ พอชนะก็จะได้กลับมาบวก และแน่นอนว่าปัญหาหรือความโชคร้ายมันจะเกิดขึ้นเมื่อเงินหมดและดันไปหมดตอนที่ทบไปเยอะมากจนยากที่จะถอนทุนแล้วหรือเรียกกันง่ายๆว่าเจ๊งนั่นเอง แบบนั้นแปลว่าการทบเงินเป็นเรื่องไม่ดีหรือไม่ ทำให้เราเสียเงินมากขึ้นหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ และก็ใช่ในเวลาเดียวกัน
ขั้นแรกก่อนที่จะนำการทบเงินไปใช้ให้เราลองดูก่อนว่าการทบเงินตามหลักสากลที่ทำกันมีแบบใดบ้าง ซึ่งจะมีแบบทบเมื่อบวกและทบเมื่อลบ ( progressive – negative ) คือเราเพิ่มเงินเดิมพันเข้าไปเมื่อแพ้ติดต่อกัน หรือชนะติดต่อกันนั่นเอง ซึ่งในแบบแรกนั้นจะมีเป้าหมายคือการชนะติดต่อกันให้ได้ซัก 3-4 เกม เป็นจำนวนหลายๆครั้งจนยอดเงินบวกไปถึงจุดที่จะออกจากเกมได้ โดยสามารถแพ้ได้เรื่อยๆด้วยเงินขั้นต่ำ หรือเรียกว่าการตั้งเป้าที่การได้เงินก้อนใหญ่จำนวนน้อยและเสียเงินก้อนเล็กจำนวนมาก ส่วนแบบทบเมื่อลบคือตรงกันข้าม โดยจะตั้งเป้าหมายที่การได้เงินจำนวนน้อยๆเป็นจำนวนหลายก้อน และคาดหวังว่าจะไม่เสียเงินจำนวนมากจากการแพ้หลายเกมติดกัน ( โดยทั่วไปมักจะอยู่ที่ 6-10 เกมติดกัน ) ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเอาไปใช้กับเกมไหน เพื่อเป้าหมายอะไร
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของข้อจำกัด ผู้เล่นควรจะเช็คเสมอว่าในเกมที่จะเล่นนั้นให้วางเงินสูงสุดได้เป็นจำนวนเท่าไหร่ต่อการเล่นหนึ่งเกม เพราะหากแพ้ติดต่อกันหลายเกมและเงินยังไม่หมด แต่ไม่สามารถเพิ่มเงินเดิมพันได้ โอกาสที่วงเงินจะยังคงติดลบอยู่แม้ว่าจะตีกลับมาชนะก็ยังมี และไม่ใช่เรื่องที่ผู้เล่นอยากให้เกิดกับตัวเองแน่ๆ ส่วนข้อจำกัดที่สองก็คือวงเงินของตัวผู้เล่นเองว่ามีมากขนาดไหน และในการวางเงินเดิมพันแบบทบจะใช้วงเงินเริ่มต้นเป็นพื้นฐานในการคิดทั้งนั้น ดังนั้นผู้เล่นควรจะพิจารณาให้ดีว่าจะใช้เงินเริ่มต้นเป็นร้อยละเท่าไหร่ของวงเงินทั้งหดที่จะนำมาเล่นในครั้งนั้น